เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบข้อเสนอ “การพัฒนาหลักประกันบริการทางสังคมแก่กลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน” ของคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ (ก.ส.ค.) ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการ และนายวราวุธ ศิลปอาชา เป็นรองประธานคณะกรรมการ
จำแนกตามกลุ่มเป้าหมาย 5 กลุ่ม ได้แก่:
1. กลุ่มเด็กและเยาวชน
- ปรับฐานกลุ่มเป้าหมายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นการให้เงินอุดหนุนแบบถ้วนหน้าโดยไม่ต้องมีการคัดกรองรายได้ของครอบครัว
- ขยายอายุของเด็กให้ครอบคลุม เริ่มจากเด็กในครรภ์ตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 6 ปี (เดิมตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 ปี) ได้รับเงินในอัตรา 600 บาท/คน/เดือน
- พัฒนาระบบการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย โดยปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวกับการศึกษา เพื่อขยายระยะเวลาให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษา เป็นเวลา 15 ปี
2. กลุ่มผู้สูงอายุ
- ปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบขั้นบันได อายุ 60-69 ปี เดือนละ 700 บาท อายุ 70-79 ปี เดือนละ 850 บาท อายุ 80-89 ปี เดือนละ 1,000 บาท และตั้งแต่อายุ 90 ปีขึ้นไปเดือนละ 1,250 บาท
- ส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ของชุมชน และส่งเสริมอาชีพและการจ้างงานผู้สูงอายุที่เหมาะสม
3. กลุ่มคนพิการ
- ปรับเบี้ยความพิการให้สอดคล้องกับค่าครองชีพเป็น 1,000 บาทแบบถ้วนหน้า
- นำคนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการ สามารถเข้าถึงสิทธิได้อย่างทั่วถึงเท่าเทียมและเป็นธรรม
- ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนพิการเพิ่มมากขึ้น และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนพิการ
4. กลุ่มแรงงาน
- ยกระดับการคุ้มครองแรงงานนอกระบบ โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องและขยายสิทธิประกันสังคมที่ตรงตามความต้องการของแรงงานนอกระบบ
- ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ ยกระดับทักษะ เทคโนโลยีสารสนเทศและเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องดิจิทัล
5. สวัสดิการสำหรับครอบครัว
- พัฒนาแนวทางสวัสดิการบริการสนับสนุนครอบครัว โดยให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมกับรูปแบบของครอบครัวที่แตกต่างกัน
- ออกแบบสวัสดิการที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการของครอบครัวแต่ละประเภท เพื่อส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวสามารถเข้าถึง ได้รับสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้ประชาชนในกลุ่มเป้าหมายได้รับการดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นการสร้างหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป