วันพุธ, 19 มีนาคม 2568

พม่าโควิด 19 ระบาดหนักคุมไม่อยู่ เฝ้าระวังอย่าให้เล็ดลอดเข้าไทยเด็ดขาด

ต้องคอยบอกกันซ้ำๆ การ์ดอย่าตก แม้ขณะนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เฉพาะที่เดินทางมาจากต่างประเทศเท่านั้น แต่อย่าได้ประมาท เพราะประเทศเมียนมา เพื่อนบ้านของไทย กำลังวิกฤติหนักคุมไม่อยู่ ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อสะสม 26,064 ราย เสียชีวิต 598 ศพ

ยิ่งสร้างความตระหนกให้กับคนไทย เมื่อพบว่าโชเฟอร์ชาวเมียนมา 3 คน ติดเชื้อ ได้ข้ามพรมแดนมาซื้อสินค้าในตลาดค้าปลีกและส่ง ซึ่งใหญ่ที่สุดในอ.แม่สอด จ.ตาก โดยขณะนี้ผู้เกี่ยวข้องกำลังเร่งติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดทั้งฝั่งไทยและเมียนมา และล่าสุดจังหวัดตาก ออกคำสั่งระงับการเข้า-ออก จุดผ่านแดนถาวร ตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค.นี้

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ “ทีมเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า เป็นสิ่งที่น่ากลัว 100 เท่ามากกว่าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะลดการกักตัวจาก 14 วัน มาเป็น 7 วัน เนื่องจากกระบวนการตรวจชาวเมียนมาที่เข้ามาในไทย ด้วยการแยงจมูกเพียงครั้งเดียวเพื่อหาเชื้อโควิด และบอกว่าปลอดเชื้อโควิดนั้นน่ากลัวอย่างมาก ทั้งๆ ที่มีความเสี่ยงสูง การตรวจไม่เจอครั้งแรก ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเชื้อ ควรต้องมีการตรวจจนกว่าจะแน่ใจ หรือทำการตรวจเลือด ซึ่งมีความแม่นยำ 100% เป็นการเจาะเลือดที่ปลายนิ้ว แม้จะได้ผลบวกมากกว่า หรือตรวจ 1 พันคน ได้ผลบวก 55 คน และในจำนวนนี้มีผู้ติดเชื้อโควิดจริงๆ ประมาณ 14 คน

“ที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากสมาคมธุรกิจของเมียนมา กำลังกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโควิดภายในประเทศเป็นอย่างมาก มีความสนใจชุดตรวจเลือดหาโควิด สามารถตรวจคน 5 หมื่นคนต่อวัน ในการคัดกรองไปสู่ระดับ 2 ต่อไป โดยอาทิตย์หน้าจะประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อทำการสาธิต เพราะหวังว่าหากเมียนมา สามารถคุมได้ก็เท่ากับคุมบ้านเราได้ ถ้าข้างบ้านเราไม่รอด เราก็คงไม่รอดไปด้วย และไทยจะเจ๊ง เพราะคนติดโควิดมาจากชายแดน”

จากสถานการณ์ในเมียนมาขณะนี้ คาดว่าจะต้องมีแรงงานเมียนมาเล็ดลอดเข้ามาทำงานในไทยจำนวนมาก ตั้งแต่ไทยมีการล็อกดาวน์ประเทศ โดยไม่มีการกักตัว และขณะนี้มีอีกจำนวนหนึ่งกำลังกลับมาทำงานในไทยอีก ซึ่งไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าไร ทำให้โอกาสคน 1 คนที่ติดเชื้อ จะกลายเป็นติดเชื้อ 6 คน หรือมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องขณะเข้ามาทำงานในไทย เพราะฉะนั้นควรต้องทำการตรวจแบบรวดเร็ว ในราคาถูก และไม่หลุด ซึ่งการแยงจมูกตรวจหาเชื้อครั้งเดียวไม่พอ ตรงข้ามกับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศโดยทางเครื่องบิน มีการตรวจหาเชื้อมากถึง 3 ครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมาก

สรุปว่าประเทศไทยอย่าให้ใครหลุดเข้ามา หากปล่อยให้ชาวเมียนมาเข้ามา 1 คน และภายใน 1 เดือน มีการแพร่ระบาดจะมีคนติดเชื้อเป็นลูกโซ่ มากถึง 1,600 คน เนื่องจากลักษณะการอยู่อาศัยของชาวเมียนมาในเมืองไทย จะอยู่รวมกันมีความแออัดเป็นอย่างมาก ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

ส่วนความคืบหน้าของวัคซีนต้านไวรัสโควิด สัญชาติไทย ซึ่งมีการสกัดโปรตีนมาจากใบยาสูบ จากความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม ล่าสุดได้มีบริษัทเอกชนจำนวน 5 แห่ง ให้การสนับสนุนงบประมาณรายละ 50 ล้านบาท รวม 250 ล้านบาท ในการทำโรงงานสกัดโปรตีนจากใบยาสูบ ยังเหลืออีก 250 ล้านบาท คาดว่าจะทำการขายหุ้นให้กับประชาชนให้เป็นเจ้าของโดยจะเปิดตัวประมาณสัปดาห์หน้า

ขณะที่วัคซีนของบริษัทโมเดอร์นา ตามที่รัฐบาลไทยทำการติดต่อให้ถ่ายทอดกระบวนการผลิต หากใช้ได้ผลก็ต้องผ่านขั้นตอนในการทดสอบใช้กับคนไทย ซึ่งผลลัพธ์อาจได้ไม่เท่ากันกับต่างประเทศที่ทำการผลิต ตรงข้ามกับวัคซีนที่สกัดมาจากใบยาสูบ สามารถต้านมะเร็งและรักษาโรคสมองอักเสบ รวมถึงต้านเชื้อโควิด ไม่ใช่เชื้อเป็น แต่เป็นโปรตีนที่ไม่มีชีวิต ไม่ต้องพลิกแพลงอะไรมาก ในการนำมาทดสอบกับมนุษย์ และต้องยอมรับว่าวัคซีนทั่วโลก อาจไม่ได้ผลอย่างที่หวัง เพราะไวรัสตัวนี้เปลี่ยนหน้าตา ใกล้เป็นโควิด-20 ไปแล้ว ต้องเผื่อใจหากวัคซีนไม่ได้ผล

สุดท้ายแล้ว 1. ขอทุกคนอย่าการ์ดตก 2. คนมาจากต่างประเทศเข้าไทย จะต้องตรวจคัดกรองแบบเร็วดี และประหยัด และ 3. ร่วมมือและวางแผนกับประเทศเพื่อนบ้านในการช่วยป้องกันเชื้อโควิด โดยหวังว่าทางเมียนมาจะเข้าใจวิธีการตรวจหาด้วยการเจาะเลือด ซึ่งง่ายมาก เหมือนการเจาะนิ้วหาเบาหวาน โดยใช้ชุดตรวจใบยาสูบ.

แหล่งข่าว https://www.thairath.co.th