วันศุกร์, 7 กุมภาพันธ์ 2568

นักวิทย์ฯ เตือนใช้ชีวิตท่ามกลาง PM2.5 เพียง 3 ปีเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดทะลุถึง DNA

นักวิทย์ฯ เตือนใช้ชีวิตท่ามกลาง PM2.5 เพียง 3 ปีเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดทะลุถึง DNA

นักวิทย์ฯ เตือน ใช้ชีวิตท่ามกลาง PM2.5 เพียง 3 ปี เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดทะลุถึง DNA จากปัญหาฝุ่นควันพิษภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ที่หนักสุด

หลายประเทศในโลกกำลังเผชิญปัญหามลพิษ ในอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็ก ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่โดยตรง โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพ

จากข้อมูลขององค์กรอนามัยโลก (WHO) เผยว่าภายใน 1 ปี จะมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศสูงถึง 8 ล้านคน โดยกว่าร้อยละ 40 เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดและทางเดินหายใจ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตพุ่งสูงขึ้นกว่า ปี 2022 ถึง 1 ล้านคน นับว่าเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่สูงที่สุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

ชาร์ลส์ สวอนตัน (Charles Swanton) นักวิจัยด้านมะเร็ง จากสถาบันฟรานซิส คริก (Francis Crick Institute) ในสหราชอาณาจักร เผยหลักฐานงานวิจัยทางการแพทย์ชิ้นสำคัญ พบว่า การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฝุ่นละอองพิษเพียง 3 ปี จะส่งผลให้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งในทางเดินหายใจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เนื่องจากฝุ่นละอองเหล่านี้ทำให้ DNA ในสิ่งมีชีวิตค่อยๆ ถูกทำลาย จนนำไปสู่กระบวนการทำงานของสรีระและชีวเคมีของเซลล์บกพร่อง กระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็งแทนที่ เนื่องจากฝุ่นละอองขนาดเล็กสามารถเข้าไปทางร่างกายได้โดยตรง โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5 ) ที่เป็นตัวร้ายและต้นตอของการเกิดมะเร็งทางเดินอากาศในปัจจุบัน

ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีแหล่งกำเนิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น คราบเขม่าไอเสียของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม แต่ในหลายพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า การเผาจากภาคเกษตรกรรมเพื่อแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ ละอองฝุ่นดังกล่าวอยู่ในอากาศเป็นระยะเวลานาน และสามารถเคลือนที่ไปได้ไกลกว่า 1 พันกิโลเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและภูมิประเทศ แต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลสำหรับ PM2.5 สามารถผ่านไปยังผนังหลอดเลือดได้โดยไม่ถูกคัดกรอง เท่ากับว่าเมื่อหายใจ ละอองดังกล่าวจะวิ่งไปยังทุกส่วนของร่างกายทันที

นักวิทย์ฯ เตือนใช้ชีวิตท่ามกลาง PM2.5 เพียง 3 ปีเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดทะลุถึง DNA

ในงานวิจัยของสวอนตันและทีมศึกษาผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด 3.3 หมื่นคน พบว่า ค่าฝุ่น PM2.5 ส่งผลต่อการกลายพันธ์ุของยีน Epidermal Growth Factor Receptor (EGFR) อย่างมีนัยสำคัญ โดยยีน EGFR เป็นรหัสทางพันธุกรรรมที่อยู่บนผิวเซลล์ซึ่งทุกคนมีอยู่ในตัว โดยเมื่อกระบวนการของร่างกายตรวจสอบและค้นพบยีนที่เกิดความผิดปกติก็จะดำเนินการกำจัดทิ้ง ทว่าหากเซลล์ผิวได้รับความผิดปกติจากสารในทางชีวเคมีในฝุ่น PM2.5 ในปริมาณมากเกินไป จะทำให้เกิดความผิดปกติในระดับยีน ทำให้การแบ่งตัวของยีนดังกล่าวไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งในผู้ป่วยมะเร็งปอดพบเซลล์เหล่านี้มากถึงร้อยละ 60 แม้ว่าผู้ป่วยเหล่านั้นจะไม่มีพฤติกรรมในการสูบบุหรี่ หรือทำงานที่เกี่ยวข้องการเกิดของฝุ่น PM2.5 ก็ตาม

“ปกติแล้ว เซลล์ที่มีการกลายพันธุ์จนก่อให้เกิดมะเร็งจะสะสมตามธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น แต่เมื่อเซลล์เหล่านี้สัมผัสกับมลพิษทางอากาศทำให้เซลล์เหล่านี้เกิดการกลายพันธุ์ พร้อมกระตุ้นให้มีการส่งสัญญาณที่ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตและแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” ชาร์ลส์ สวอนตัน นักวิจัยกล่าว

เพื่อเจาะลึกว่ามลพิษทางอากาศทำให้เกิดมะเร็งได้อย่างไร สวอนตันและทีมนักวิจัยนานาชาติได้ทำการวิเคราะห์โดยแบ่งงานวิจัยเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย

1. การใช้ชุดข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและระบาดวิทยาจากกลุ่มผู้ทดลองจำนวน 32,957 คน จากประเทศอังกฤษ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ มาเปรียบเทียบหาความแตกต่างระหว่างระดับของ PM2.5 และการกลายพันธ์ุที่เกิดขึ้นในคนป่วยเป็นมะเร็งปอด โดยผลการวิจัยระบุว่า การกลายพันธ์ุในผู้ป่วยสัมพันธ์กับค่า PM2.5 อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันก็ศึกษาและติดตามข้อมูลจากผู้ไม่สูบบุหรี่จำนวน 228 คนในประเทศแคนาดาที่ทำงานในบริเวณที่มี PM2.5 สูง พบว่า หลังจากสัมผัสกับมลพิษทางอากาศในระดับสูงเป็นเวลา 3 ปี ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอดที่เกิดจาก EGFR เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 73 ทันที

2. ทีมวิจัยได้ทดสอบการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ในหนูเพื่อตรวจสอบกระบวนการของเซลล์ที่อาจอยู่เบื้องหลังการเติบโตของมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ พวกเขาพบว่า PM2.5 คือต้นกำเนิดที่ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันปล่อยสาร interleukin-1 หรือโมเลกุลที่ทำให้เกิดการอักเสบในเซลล์ปอด และเป็นต้นตอที่ทำให้ยีนเกิดการกลายพันธ์ุและกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด

3. มีการการทดสอบเนื้อเยื่อปอดจาก 295 คน จากคนที่มีสุขภาพแข็งแรงและไม่ป่วยเป็นมะเร็ง พบว่า พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับฝุ่นละออง PM2.5 จึงทำให้เซลล์ของพวกเขาดำเนินการไปตามอายุขัยโดยไม่มีตัวกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์แอบแฝง โดยร้อยละ 18 ของจำนวนประชาชนที่ทดสอบมีโอกาสที่จะเกิดมะเร็งได้ แต่ไม่ได้มีปัจจัยมาจาก PM2.5 แต่อย่างใด

โดยนักวิจัยยังระบุต่ออีกว่า แนวทางป้องกันปัญหานี้ คือต้องลดมลพิษทางอากาศให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีประชาชนแออัด มีโรงงานอุตสาหกรรม หรือการเกษตรที่พึ่งพาการเผาไหม้

อย่างไรก็ตามในประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน เผชิญกับปัญหาค่าฝุ่น PM2.5 ที่เกินค่ามาตรฐานเป็นระยะเวลามากกว่า 1 เดือน ซึ่งหลายคนต่างโอดโอยขอร้องให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขให้มากกว่า ‘การฉีดน้ำ’ เพื่อไล่ฝุ่นละออง

กระทั่งวันที่ 10 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ชาวเชียงใหม่ในนามเครือข่ายประชาชนภาคเหนือได้ประท้วงเรียกร้อง ‘คืนปอดให้ประชาชน’ โดยได้รวมตัวเดินทางไปยังศาลปกครองจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อฟ้องร้องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ. ส่งเสริมเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ, แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง, พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้มีการปฏิบัติการตามกฎหมายและนโยบายที่ได้มีการจัดทำไว้เพื่อลดทอนความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในปัจจุบัน

เนื่องจากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือนับ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่มาผ่านมา และทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงต้นเดือนเมษายน โดยหน่วยงานทั้งรัฐบาลและหน่วยงานระดับท้องถิ่นต่างไม่ได้มีการรับมืออย่างกระตือรือร้นและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากต้องเผชิญสภาวะอันเลวร้ายและเสี่ยงภัยต่อโรคร้ายทางสุขภาพทั้งในระยะยาวและในระยะเฉพาะหน้า

แม้ว่าจะมีกฎหมายหลายฉบับที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือ และรวมถึงแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ซึ่งประกาศใช้มาเมื่อ พ.ศ. 2562 อันแสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจและการสิ้นไร้ความสามารถของรัฐบาลในการปกป้องคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างชัดเจน

ที่มา www.sciencealert.com , www.nature.com