วันเสาร์, 17 พฤษภาคม 2568

เหมืองทองคำเมียนมา มลพิษข้ามแดนในแม่น้ำกก-สาย กระทบชุมชนเชียงราย-เชียงใหม่

เหมืองทองคำเมียนมา: มลพิษข้ามแดนในแม่น้ำกก-สาย กระทบชุมชนเชียงราย-เชียงใหม่

(Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) ภาพ: แม่น้ำกกในเขต อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีสีน้ำขุ่นข้นผิดปกติจากตะกอนเหมืองทองฝั่งเมียนมา

ช่วงต้นปี 2568 ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนกลายเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เมื่อผลตรวจคุณภาพน้ำพบการปนเปื้อนสารพิษร้ายแรงในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายที่ไหลมาจากเมียนมา ชาวบ้านในภาคเหนือของไทยต่างหวาดผวาและได้รับคำเตือนให้งดใช้น้ำจากลำน้ำทั้งสองเพื่ออุปโภคบริโภค (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) ปัญหานี้เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองคำขนาดใหญ่ในพื้นที่ชายแดนเมียนมา ซึ่งปล่อยของเสียปนเปื้อนโลหะหนักลงสู่ลำน้ำ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ บทความนี้จะพาผู้อ่านเจาะลึกข้อมูล (1) เบื้องหลังเหมืองทองคำในเมียนมา (2) หลักฐานมลพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย (3) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนไทย (4) การตอบสนองของทางการไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ (5) แนวทางแก้ไขปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน

เบื้องหลังเหมืองทองคำในเมียนมาใกล้ชายแดนไทย

เหมืองทองคำต้นเหตุของวิกฤตมลพิษนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่รัฐฉาน ทางภาคตะวันออกของเมียนมา ใกล้กับต้นน้ำที่ไหลเข้าสู่ไทย พื้นที่หลักคือบริเวณ เมืองสาด (Mong Hsat) และใกล้เคียง เช่น เมืองยอน และหมู่บ้านบริเวณต้นน้ำของแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในรัฐฉาน (เจาะเหมืองแร่ “ต้นแม่น้ำกก-น้ำสาย” มลพิษข้ามพรมแดน | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอส) (Thai government report says Mae Sai floods and sludge caused by gold and mineral mining in Myanmar – ENG.MIZZIMA.COM) โดยพื้นที่เหล่านี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังชนกลุ่มน้อยคือ กองทัพรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) ซึ่งได้อนุญาตให้กลุ่มทุนจีนเข้ามาดำเนินการทำเหมืองทองคำอย่างกว้างขวางตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) (Thai E-News : เผยทุนจีน 23 บริษัททำเหมืองทองแม่น้ำกกตอนบน ชะล้าง-สารเคมีลงสายน้ำทำเอาขาวขุ่น ชาวบ้านหวั่นไม่ปลอดภัย-ไม่กล้าใช้น้ำ วอนหน่วยงานรัฐเร่งตรวจสอบ) รายงานจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF) ระบุว่าช่วงสองปีที่ผ่านมา (2566-2567) มีการขยายเหมืองทองคำอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดังกล่าว เช่น บริเวณใกล้หมู่บ้านม่งกานและหน่าเย่า ภายใต้การควบคุมของ UWSA รวมถึงบริเวณบ้านแม่จอกที่มีกองกำลังติดอาวุธซึ่งฝักใฝ่รัฐบาลทหารพม่าดูแลอยู่ (Thai government report says Mae Sai floods and sludge caused by gold and mineral mining in Myanmar – ENG.MIZZIMA.COM)

ลักษณะการทำเหมืองในพื้นที่นี้เป็นการทำเหมืองทองแบบเปิดหน้าดิน (open-pit mining) และขุดลอกตามลำน้ำ โดยใช้อุปกรณ์หนักและเรือขุดเพื่อร่อนหาแร่ทองคำตลอด 24 ชั่วโมง (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) กลุ่มทุนจีนที่เข้ามาดำเนินการมีหลายราย (บางแหล่งระบุถึง 4 บริษัทใหญ่ ขณะที่ข้อมูลภาคประชาชนไทยระบุว่ามีถึง 23 บริษัท) มีแรงงานชาวจีนทำงานอยู่ในไซต์เหมืองรวมหลายร้อยคน (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) (สำนักข่าวชายขอบ – เผยทุนจีน 23 บริษัททำเหมืองทองแม่น้ำกกตอนบน …) พื้นที่ขุดทองเหล่านี้เคยเป็นป่าต้นน้ำอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันถูกบุกรุกเปิดหน้าดินเป็นวงกว้าง หลายจุดมองเห็นชัดเจนผ่านภาพถ่ายดาวเทียมว่าเกิดการขุดเจาะและชะล้างดินอย่างหนัก (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) เทคโนโลยีที่ใช้ในการสกัดทองคำน่าจะเกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตราย เช่น ไซยาไนด์ และ ปรอท ซึ่งเป็นวิธีสากลในการแยกทองคำจากสินแร่ หากแต่ไม่มีระบบบำบัดของเสียที่ได้มาตรฐานเลย – น้ำจำนวนมหาศาลถูกสูบขึ้นมาจากแม่น้ำเพื่อใช้ล้างแร่แล้วปล่อยทิ้งกลับลงไปสู่ลำน้ำโดยตรงโดยไม่ผ่านการบำบัดใดๆ (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) ก่อให้เกิดน้ำขุ่นข้นปนเปื้อนตะกอนและสารพิษไหลลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสายตั้งแต่ต้นทางข้ามพรมแดนมายังฝั่งไทย

หลักฐานมลพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย

มีหลักฐานเชิงประจักษ์และรายงานทางการหลายชิ้นที่ยืนยันการปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองทองเมียนมาลงสู่ลำน้ำข้ามแดนมาถึงไทย:

หลักฐานเหล่านี้ชี้ว่าแหล่งกำเนิดมลพิษอยู่ที่กิจกรรมเหมืองทองคำฝั่งเมียนมา ซึ่งปล่อยทั้งของแข็ง (ดินตะกอน) และของเหลวปนสารเคมี (น้ำเสีย) ลงสู่สายน้ำ ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำกก-สายขุ่นแดงและเต็มไปด้วยสารพิษอันตรายหลายชนิด ทั้งสารหนู ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท และอาจรวมถึงสารไซยาไนด์ที่ใช้ในกระบวนการสกัดทองคำ (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) สารเหล่านี้ล้วนเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศและสุขภาพของผู้ที่สัมผัสหรือบริโภคอย่างร้ายแรง

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนไทย

มลพิษจากเหมืองทองเมียนมาได้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ท้ายน้ำของลำน้ำกกและสาย ดังนี้:

  • คุณภาพน้ำและระบบนิเวศทางน้ำเสื่อมโทรม: เดิมทีแม่น้ำกกมักจะใสสะอาดในช่วงหน้าแล้ง (ฤดูที่น้ำไม่หลาก) แต่ปีนี้น้ำกลับขุ่นข้นตลอดเหมือนฤดูฝน ชาวบ้านรายงานว่าสีน้ำผิดปกติคล้าย “น้ำนม茶ขุ่น” และมีตะกอนปนมากจนเห็นได้ชัดเจน (Toxic found in Kok River; Chiang Mai-Chiang Rai warned off) (Thai E-News : เผยทุนจีน 23 บริษัททำเหมืองทองแม่น้ำกกตอนบน ชะล้าง-สารเคมีลงสายน้ำทำเอาขาวขุ่น ชาวบ้านหวั่นไม่ปลอดภัย-ไม่กล้าใช้น้ำ วอนหน่วยงานรัฐเร่งตรวจสอบ) ความขุ่นและสารพิษได้ส่งผลให้ ปลาลำน้ำกกและสายลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด บางพื้นที่แทบไม่พบปลาเลย สภาพดังกล่าวถูกบรรยายว่าเป็น “การทำลายล้างนิเวศ” ในแม่น้ำ เพราะห่วงโซ่อาหารในน้ำปั่นป่วนจากสารพิษและตะกอนที่ทับถมแหล่งวางไข่ของปลา ([ Thailand: Gold mines in Myanmar cause cross-border pollution, discharging toxic contaminants into rivers; key miners reportedly Chinese – Business & Human Rights Resource Centre ](https://www.business-humanrights.org/en/latest-news/gold-mines-in-myanmar-caused-cross-border-pollution-discharging-poisonous-contaminants-in-rivers-in-thailand-key-miners-reportedly-chinese/#:~:text=Suthep%20Kritsanavari)) นอกจากปลาแล้ว สัตว์น้ำอื่นๆ และพืชน้ำก็เสี่ยงได้รับผลกระทบ ขณะที่สัตว์เลี้ยงหรือสัตว์ป่าที่ลงมากินน้ำตามลำน้ำก็อาจได้รับสารปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว
  • ผลกระทบต่อการเกษตรและน้ำประปา: หลายชุมชนในลุ่มน้ำกก-สายพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำทั้งสองในการทำการเกษตรและผลิตน้ำประปา เมื่อคุณภาพน้ำย่ำแย่ เกษตรกรจึงกังวลว่าน้ำที่ใช้รดพืชจะนำสารพิษไปสะสมในดินและผลผลิต เช่น ข้าวหรือผัก หากใช้ติดต่อกันนานๆ นอกจากนี้ ระบบผลิตน้ำประปาของตำบล/หมู่บ้านหลายแห่งที่สูบน้ำดิบจากแม่น้ำโดยตรง อาจไม่สามารถกรองสารปนเปื้อนเหล่านี้ออกได้หมด (Toxic found in Kok River; Chiang Mai-Chiang Rai warned off) แม้การประปาส่วนภูมิภาคจะยืนยันว่าน้ำประปาที่ผ่านการบำบัดยังปลอดภัยอยู่ แต่ประชาชนก็เริ่มขาดความมั่นใจ เพราะในขณะที่ถูกเตือนว่า “น้ำในแม่น้ำมีพิษ ห้ามสัมผัส” แต่สุดท้ายน้ำประปาที่ดื่มกินก็มีแหล่งที่มาจากน้ำแม่น้ำเหล่านี้อยู่ดี ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) หลายครัวเรือนจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยและบางส่วนต้องพึ่งน้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำจากแหล่งอื่นแทน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
  • สุขภาพของประชาชน: มีรายงานผู้ที่ลงเล่นน้ำหรือลุยน้ำในแม่น้ำกกช่วงต้นปีนี้เกิดอาการแพ้และผื่นคันผิวหนังหลายราย บางคนเป็นมากจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล (Thai E-News : เผยทุนจีน 23 บริษัททำเหมืองทองแม่น้ำกกตอนบน ชะล้าง-สารเคมีลงสายน้ำทำเอาขาวขุ่น ชาวบ้านหวั่นไม่ปลอดภัย-ไม่กล้าใช้น้ำ วอนหน่วยงานรัฐเร่งตรวจสอบ) สารหนูและโลหะหนักอย่างตะกั่ว/ปรอทขึ้นชื่อว่าเป็นพิษเรื้อรังสะสม หากดื่มกินน้ำหรือบริโภคสัตว์น้ำที่ปนเปื้อนต่อเนื่อง สารเหล่านี้จะสะสมในร่างกายและนำไปสู่อาการร้ายแรง เช่น โรคมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด โรคทางเดินอาหารเรื้อรัง ความผิดปกติทางผิวหนัง นอกจากนี้ปรอทยังมีผลต่อระบบประสาทและสมอง โดยเฉพาะในเด็กและทารกในครรภ์ (หากหญิงตั้งครรภ์ได้รับปรอท จะเสี่ยงต่อพัฒนาการของเด็กที่เกิดมาล่าช้าหรือผิดปกติ) (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) (สำนักข่าวชายขอบ) เจ้าหน้าที่เตือนว่าแม้การได้รับสารหนู/โลหะหนักในปริมาณน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการเฉียบพลันเช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการรับสารพิษทีละน้อยแต่ต่อเนื่องยาวนานจะทำให้เกิดโรคร้ายแรงในระยะยาวโดยไม่ทันรู้ตัว ดังนั้นกรณีนี้จึงเปรียบเสมือน “ภัยเงียบ” ที่คุกคามสุขภาพคนลุ่มน้ำกก-สายอย่างยั่งยืน
  • ความเป็นอยู่และเศรษฐกิจท้องถิ่น: แม่น้ำกกและแม่น้ำสายเปรียบเสมือน “เส้นชีวิต” ของคนในพื้นที่ ใช้เป็นทั้งแหล่งน้ำทำการเกษตร, ประมงพื้นบ้าน, คมนาคมท้องถิ่น และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (เช่น ล่องแก่ง, ล่องแพ, กิจกรรมสงกรานต์) เมื่อแม่น้ำทั้งสองสกปรกและเป็นพิษ ย่อมกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจฐานรากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาวบ้านบางส่วนไม่กล้าจับปลาหรือเก็บหอยไปขาย/บริโภคเพราะกลัวว่าจะมีพิษสะสม นักท่องเที่ยวที่เคยมาเล่นน้ำชมธรรมชาติก็หดหายไปในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เนื่องจากชื่อเสียงเรื่องน้ำปนเปื้อนแพร่สะพัดออกไป (สรุปให้ มลพิษลำน้ำกก เชียงราย ปนเปื้อนสารเคมีจนปลาติดเชื้อ? – YouTube) (Thai E-News : เผยทุนจีน 23 บริษัททำเหมืองทองแม่น้ำกกตอนบน ชะล้าง-สารเคมีลงสายน้ำทำเอาขาวขุ่น ชาวบ้านหวั่นไม่ปลอดภัย-ไม่กล้าใช้น้ำ วอนหน่วยงานรัฐเร่งตรวจสอบ) ขณะเดียวกัน เหตุการณ์น้ำท่วมโคลนในปี 2567 ทำให้หลายครอบครัวสูญเสียบ้านเรือน ทรัพย์สิน และอาชีพ บางคนต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่ได้รับการเยียวยาที่เพียงพอ ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) สภาพจิตใจของชุมชนจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจและความคับข้องใจที่ปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างจริงจัง

โดยสรุป มลพิษข้ามแดนจากเหมืองทองคำเมียนมาได้สร้าง วิกฤตสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข ให้กับชุมชนไทยในลุ่มน้ำกก-สาย ตั้งแต่ทำลายระบบนิเวศ, บ่อนทำลายความมั่นคงทางอาหารและน้ำ, ไปจนถึงบั่นทอนสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน ปัญหานี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันแก้ไข

การตอบสนองของทางการไทยและความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น

เมื่อตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ หน่วยงานภาครัฐของไทยรวมถึงภาคประชาสังคมได้เริ่มดำเนินการตอบสนองต่อปัญหานี้หลายด้าน ดังนี้:

  • การแจ้งเตือนและตรวจสอบในพื้นที่: ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่สิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายได้ออกประกาศเตือนประชาชนที่อาศัยริมแม่น้ำกกและสาย ให้งดการใช้น้ำจากลำน้ำทั้งสองเพื่อการดื่มกินและหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำโดยตรง จนกว่าจะมีการยืนยันความปลอดภัย (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) พร้อมกันนั้นได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินเพิ่มเติมหลายจุดเพื่อส่งตรวจอย่างละเอียด ทั้งจากฝ่ายไทยเองและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission – MRC) เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายก็สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามเฝ้าระวังคุณภาพน้ำตลอดแนวแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง และรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ
  • เสียงเรียกร้องจากประชาชนและนักวิชาการ: ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านกว่า 700 คน ในตำบลท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (พื้นที่ริมแม่น้ำกก) ได้รวมตัวชุมนุมอย่างสันติเนื่องใน วันอนุรักษ์แม่น้ำสากล (14 มีนาคม) เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปกป้องแม่น้ำกกจากมลพิษข้ามแดนครั้งนี้ ([ Thailand: Gold mines in Myanmar cause cross-border pollution, discharging toxic contaminants into rivers; key miners reportedly Chinese – Business & Human Rights Resource Centre ](https://www.business-humanrights.org/en/latest-news/gold-mines-in-myanmar-caused-cross-border-pollution-discharging-poisonous-contaminants-in-rivers-in-thailand-key-miners-reportedly-chinese/#:~:text=including%20Peng%20Kham%20in%20Myanmar,laden%20water)) การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนดังกล่าวนำไปสู่การรวมตัวกันของ เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งประกอบด้วยชาวบ้านและนักวิชาการในพื้นที่เชียงราย-เชียงใหม่ ร่วมกันจัดทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีไทย (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในขณะนั้น) เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 เนื้อหาเรียกร้องให้นายกฯ และรัฐบาลไทย เร่งแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและสายอย่างเร่งด่วน ก่อนฤดูฝนจะมาถึง (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) โดยจดหมายฉบับนี้ชี้ว่าที่ผ่านมา “ทางการไทยแทบไม่มีมาตรการรับมือปัญหามลพิษข้ามแดนอย่างเป็นระบบ” และย้ำว่าลำน้ำทั้งสองคือเส้นเลือดใหญ่ของชุมชนกว่า 1.2 ล้านคนในภาคเหนือ การปล่อยให้มลพิษร้ายแรงยังดำเนินต่อไปเท่ากับเพิกเฉยต่อความทุกข์ร้อนของประชาชนจำนวนมาก ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายยังอ้างข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษ (PCD) ที่สำรวจพบว่าในปี 2566 มีพื้นที่ทำเหมืองตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาในภาคเหนืออย่างน้อย 14 แห่ง ที่เสี่ยงก่อมลพิษข้ามแดน และในจำนวนนี้ 5 แห่งตั้งอยู่ใกล้ลำน้ำที่ไหลเข้าสู่ไทย (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) (ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์แม่น้ำกก-สาย) จึงจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินการเชิงรุกในการปกป้องคุณภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณพรมแดน
  • การหารือระดับนโยบายและการทูตสิ่งแวดล้อม: การเรียกร้องของภาคประชาชนได้รับความสนใจจากทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและผู้บริหารประเทศ คณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดิน และสิ่งแวดล้อม ของสภาผู้แทนราษฎร ได้หยิบยกกรณีมลพิษแม่น้ำกก-สายขึ้นมาพิจารณา โดยรับฟังข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยืนยันการพบ สารหนู ตะกั่ว และโครเมียมเกินค่ามาตรฐาน ในน้ำแม่น้ำกกที่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และสงสัยว่าเป็นผลจากการทำเหมืองฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) คณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอแนะมาตรการเฉพาะหน้าต่อรัฐบาล เช่น การแจ้งเตือนชุมชนริมแม่น้ำให้ทราบสถานการณ์, การจัดตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่, จัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ, และฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวกับระบบประปาท้องถิ่นที่ได้รับผลเสียหาย (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) พร้อมกันนี้ ยังเสนอแนวคิดในระยะยาว ได้แก่ การติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำถาวรที่ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อเตือนภัยประชาชน และการเสริมสร้างศักยภาพให้หน่วยงานท้องถิ่นสามารถรับมือปัญหาในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) ที่สำคัญ คณะกรรมาธิการฯ และภาคประชาชนต่างเน้นย้ำว่า ปัญหานี้ต้องแก้ไขที่ต้นเหตุซึ่งอยู่ในเมียนมา ดังนั้นรัฐบาลไทยจำเป็นต้องใช้การทูตและความร่วมมือระหว่างประเทศเข้าช่วย ไม่ว่าจะผ่านการเจรจากับรัฐบาลเมียนมาโดยตรง, การประสานกับผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ที่ควบคุมพื้นที่เหมือง, หรือการหารือร่วมกับรัฐบาลจีนซึ่งพลเมืองเข้าไปลงทุนทำเหมือง (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่านี่คือ “กรณีศึกษาคลาสสิกของมลพิษข้ามแดน” ที่ต้นตอมาจากอีกประเทศ แต่ชุมชนไทยเป็นผู้รับกรรม ฉะนั้นรัฐบาลไทยต้องจริงจังในการนำประเด็นนี้เข้าสู่วาระความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น กรอบอาเซียน หรือเวทีอย่าง BIMSTEC ที่ไทยมีปฏิสัมพันธ์กับเมียนมา ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) โดยมีการเสนอว่านายกรัฐมนตรีควรหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยกับผู้นำเมียนมาในโอกาสที่พบกัน เช่น การประชุมสุดยอด BIMSTEC เมื่อ 3-4 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา (แม้ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าผู้นำไทย-เมียนมาหารือเรื่องนี้ในการพบกันดังกล่าว) (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) อย่างไรก็ดี ข้อเรียกร้องให้ใช้ “การทูตสิ่งแวดล้อม” นี้สะท้อนถึงความคาดหวังให้รัฐบาลไทยไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ต้องมองไปถึงการจัดการเชิงโครงสร้างในระดับระหว่างประเทศด้วย
  • ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานและประเทศ: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช. หรือ ONWR) ได้รายงานว่าขณะนี้กำลังประสานงานกับทางการเมียนมาและสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขง เพื่อจัดตั้งกลไกการติดตามคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกร่วมกันระหว่างสองประเทศอย่างเป็นระบบ (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) โดย สทนช. ยอมรับว่าสถานการณ์น้ำแม่น้ำกกเสื่อมโทรมลงต่อเนื่องและกำลังเป็นภัยคุกคามต่อทั้งสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในเชิงรุก นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีไทย (นายภูมิธรรม เวชยธรรม) ได้ลงพื้นที่ชายแดนแม่สายหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 และหารือกับฝ่ายเมียนมาเพื่อหาทางแก้ปัญหาน้ำท่วมและมลพิษร่วมกัน เช่น การจัดการสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสายทั้งฝั่งไทย-เมียนมา ที่เชื่อว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำหลากรุนแรงขึ้น และล่าสุดทางการเมียนมามีรายงานว่าได้เข้ารื้อถอนบ้านเรือนที่สร้างรุกล้ำริมตลิ่งฝั่งตาข่าย (ท่าขี้เหล็ก) แล้วบางส่วนเพื่อแก้ไขทางน้ำไหล (Thai government report says Mae Sai floods and sludge caused by gold and mineral mining in Myanmar – ENG.MIZZIMA.COM) (Thai government report says Mae Sai floods and sludge caused by gold and mineral mining in Myanmar – ENG.MIZZIMA.COM) แม้การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นเพียงการแก้ไขปลายเหตุเรื่องน้ำท่วม แต่ก็ถือเป็นสัญญาณของความร่วมมือข้ามแดนที่เริ่มต้นขึ้น นอกจากนี้ การที่องค์กรสากลด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง International Rivers (ซึ่งมีผู้แทนคือคุณเปี่ยมพร ดีเทศน์) เข้ามาให้ความเห็นและผลักดันประเด็นนี้ในระดับภูมิภาค ก็ช่วยเพิ่มน้ำหนักให้รัฐบาลไทยต้องดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม โดยเปี่ยมพรกล่าวว่า “แม่น้ำเหล่านี้เป็นแม่น้ำนานาชาติ การทำเหมืองทองในรัฐฉานตอนบนกำลังสร้างหายนะให้ชุมชนและระบบนิเวศปลายน้ำในไทย รัฐบาลต้องลงมือทันทีเพื่อหยุดยั้งการเปิดหน้าดินและทำเหมืองอย่างไร้การควบคุม” ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’)

โดยรวมแล้ว การตอบสนองของฝ่ายไทยประกอบด้วย การเฝ้าระวัง-แจ้งเตือน, การเคลื่อนไหวเรียกร้องของประชาชน, การผลักดันเชิงนโยบายภายในประเทศ, และความพยายามประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดกำลังดำเนินไปพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม หลายภาคส่วนยังมองว่ามาตรการเหล่านี้อาจยังไม่เพียงพอหากไม่สามารถหยุดยั้งต้นตอของปัญหาที่อยู่ฝั่งเมียนมาได้

แนวทางแก้ไขปัญหาและข้อเสนอเชิงนโยบาย

วิกฤตมลพิษข้ามแดนแม่น้ำกก-สายครั้งนี้เป็นบททดสอบสำคัญของทั้งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าหากไม่รีบแก้ไขทันที ผลกระทบอาจยืดเยื้อและ “ไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้” ในอนาคต (สำนักข่าวชายขอบ) (สำนักข่าวชายขอบ) ดังนั้นจึงเกิดข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางแก้ไขหลากหลาย ดังต่อไปนี้:

  • แก้ไขที่ต้นเหตุ – ควบคุมการทำเหมืองในเมียนมา: ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าแนวทางที่ได้ผลที่สุดคือต้องหยุดหรือควบคุมการทำเหมืองทองคำต้นน้ำในเมียนมาให้ได้ “การแก้ปัญหาที่ปลายน้ำอย่างเดียวไม่พอ ต้องไปจัดการที่ต้นน้ำ” นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชียงรายราชภัฏกล่าวไว้ (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) เนื่องจากรัฐบาลทหารเมียนมาในปัจจุบันมีอำนาจควบคุมพื้นที่อย่างจำกัด ประกอบกับพื้นที่เหมืองอยู่ใต้การดูแลของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ การแก้ปัญหาจึงต้องอาศัย ความร่วมมือทางการเมืองและการทูตหลายฝ่าย ข้อเสนอหนึ่งคือจัดตั้ง “คณะกรรมการร่วมสองประเทศ” ที่รวมผู้แทนรัฐบาลไทย-เมียนมา ฝ่ายความมั่นคง (ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่เหมือง) และอาจรวมถึงผู้แทนรัฐบาลจีน เพื่อเจรจาหาทางออกร่วมกัน (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) เป้าหมายหลักคือต้องทำให้ผู้ดำเนินการทำเหมืองยุติการปล่อยมลพิษลงน้ำทันที ไม่ว่าจะโดยการปรับปรุงกระบวนการทำเหมืองให้มีบ่อกักเก็บและระบบบำบัดน้ำเสีย หรือหากไม่สามารถปรับปรุงได้ก็ควรระงับกิจการจนกว่าจะมีมาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม กรณีนี้มีการพูดถึงหลัก “ผู้ก่อมลพิษต้องชดใช้” (Polluter Pays Principle) กล่าวคือ บริษัทเหมืองหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดปัญหา ควรต้องรับผิดชอบค่าเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใดก็ตาม (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand)
  • การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนแบบบูรณาการ: ประเทศไทยควรเร่งติดตั้ง สถานีตรวจวัดคุณภาพน้ำ ในลุ่มน้ำกก-สายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขต จ.เชียงราย ที่รับน้ำต่อจากเชียงใหม่ เพื่อเก็บข้อมูลค่ามลสาร (สารหนู ตะกั่ว ปรอท ฯลฯ) อย่างต่อเนื่องแบบเรียลไทม์ และเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) วิธีนี้จะช่วยให้หน่วยงานสามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ทันท่วงทีหากพบค่าสารพิษเกินมาตรฐานในอนาคต และประชาชนเองก็สามารถติดตามสถานการณ์และปรับตัวได้ทัน นอกจากนี้ ควรจัดทำ โครงการตรวจสุขภาพประชาชน ระยะยาวในพื้นที่เสี่ยง เพื่อตรวจคัดกรองภาวะพิษสะสมจากโลหะหนัก และรักษาได้เร็วหากพบความผิดปกติ รวมถึงตรวจสอบผลิตผลทางการเกษตรและสัตว์น้ำในลุ่มน้ำว่ามีการปนเปื้อนหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยทางอาหารของชุมชน (สำนักข่าวชายขอบ) (สำนักข่าวชายขอบ) ขณะเดียวกัน ในระดับการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ ควรวางแผน มาตรการป้องกันและตอบโต้น้ำท่วมฉุกเฉิน ที่คำนึงถึงมลพิษ เช่น หากเกิดน้ำหลากอีก ต้องเตรียมวิธีการจัดการโคลนตะกอนปนเปื้อนอย่างปลอดภัย และมีแผนสำรองเรื่องน้ำสะอาดให้ประชาชนหากระบบประปาใช้การไม่ได้ เป็นต้น (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune)
  • กรอบกฎหมายและความร่วมมือข้ามพรมแดน: กรณีมลพิษแม่น้ำกก-สายชี้ให้เห็นช่องโหว่ในเรื่องกฎหมายและกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศปัจจุบัน นักวิชาการและกรรมาธิการสภาฯ เสนอว่ารัฐบาลควรผลักดัน “กฎหมายหรือข้อตกลงทวิภาคีว่าด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดน” ระหว่างไทย-เมียนมา (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการจัดการกรณีลักษณะนี้ได้อย่างเป็นระบบ ไม่ต้องรอให้เกิดความเสียหายรุนแรงก่อนถึงค่อยเจรจา พร้อมทั้งเสนอจัดตั้ง คณะทำงานร่วมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามแดน อย่างถาวรในระดับนโยบาย ระหว่างประเทศที่มีพรมแดนติดกัน เพื่อรับมือปัญหาในอนาคตร่วมกัน เช่น กรณีหมอกควันข้ามแดนที่ไทยเผชิญมานาน ก็อาจนำบทเรียนมาใช้ในกรณีน้ำได้ (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) ในส่วนของประชาชนท้องถิ่น ควรสนับสนุนให้มี ความร่วมมือชุมชนสองฝั่งชายแดน ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและเฝ้าระวัง โดยอาจผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานในพื้นที่ พวกเขาจะเป็นหูตาคอยแจ้งเตือนหากฝั่งเมียนมามีกิจกรรมใดที่กระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งไทยควรรับรู้ล่วงหน้า
  • การฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและเยียวยาชุมชน: ขณะที่ดำเนินมาตรการแก้ปัญหาต่างๆ รัฐบาลไทยไม่ควรละเลยการดูแลเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้วในฝั่งไทย ควรจัดตั้ง กองทุนฟื้นฟูและเยียวยา เพื่อชดเชยความเสียหายให้ชาวบ้านที่สูญเสียรายได้หรือทรัพย์สินจากมลพิษและภัยพิบัติที่เกี่ยวข้อง (เช่น น้ำท่วมโคลนปี 2567) (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) รวมถึงสนับสนุนงบประมาณในการฟื้นฟูคุณภาพแม่น้ำในเขตไทย เช่น การขุดลอกตะกอนปนเปื้อนในจุดที่ปลอดภัย (ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้สารพิษฟุ้งกระจายมากขึ้น), การปล่อยพันธุ์ปลาหรือสิ่งมีชีวิตเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศเมื่อคุณภาพน้ำดีขึ้น, และการปลูกป่าเสริมในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งไทยเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและลดความรุนแรงของน้ำหลากในอนาคต เป็นต้น นอกจากนี้ ควรส่งเสริม การสื่อสารสาธารณะอย่างโปร่งใส เกี่ยวกับความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่ารัฐไม่ได้ละเลย และชุมชนเองก็จะได้เตรียมปรับตัวหรือมีส่วนร่วมในมาตรการต่างๆ ได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) (สำนักข่าวชายขอบ)
  • บทบาทของเวทีระหว่างประเทศ: แม้ไทย-เมียนมาจะต้องเจรจากันโดยตรงเป็นหลัก แต่ก็มีข้อเสนอให้ใช้เวทีระดับภูมิภาคและนานาชาติเข้ามาช่วยกดดันหรือสนับสนุนการแก้ปัญหา เช่น ผลักดันประเด็นมลพิษข้ามแดนเข้าในการประชุมอาเซียนว่าด้วยสิ่งแวดล้อม, ขอคำแนะนำหรือความช่วยเหลือทางวิชาการจากองค์กรสหประชาชาติที่ดูแลเรื่องสารเคมีหรือสิ่งแวดล้อม, ตลอดจนเรียกร้องให้รัฐบาลจีนตรวจสอบบริษัทของตนที่ไปลงทุนต่างประเทศให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสากล (เนื่องจากปัจจุบันจีนเองก็มีนโยบาย Green Investment ที่ควบคุมการลงทุนภายนอกประเทศให้อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม) (From Smog to Arsenic: Myanmar’s Toxic Trail Reaches Thailand) ([ Thailand: Gold mines in Myanmar cause cross-border pollution, discharging toxic contaminants into rivers; key miners reportedly Chinese – Business & Human Rights Resource Centre ](https://www.business-humanrights.org/en/latest-news/gold-mines-in-myanmar-caused-cross-border-pollution-discharging-poisonous-contaminants-in-rivers-in-thailand-key-miners-reportedly-chinese/#:~:text=Cross,laden%20water)) การดำเนินการในลักษณะนี้จะเพิ่มแรงจูงใจให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องจริงจังในการแก้ปัญหาและปฏิบัติตามข้อตกลงที่ให้ไว้

อนาคตของลุ่มน้ำกก-สาย ขึ้นอยู่กับการลงมือแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีและบูรณาการ ความร่วมมือของทุกฝ่ายเป็นสิ่งจำเป็น ตั้งแต่ระดับชุมชนท้องถิ่น รัฐบาลไทย หน่วยงานประเทศเพื่อนบ้าน ไปจนถึงประชาคมระหว่างประเทศ กรณีเหมืองทองคำเมียนมานี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมมิได้มีพรมแดนจำกัด หากเราไม่ช่วยกันป้องกันตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าอาจสายเกินแก้ ทั้งต่อสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของผู้คนในสองฟากฝั่งแม่น้ำ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง:

  1. ไทยพีบีเอส. “เจาะเหมืองแร่ “ต้นแม่น้ำกก-น้ำสาย” มลพิษข้ามพรมแดน.” Thai PBS News, 2568. (เจาะเหมืองแร่ “ต้นแม่น้ำกก-น้ำสาย” มลพิษข้ามพรมแดน | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอส) (เจาะเหมืองแร่ “ต้นแม่น้ำกก-น้ำสาย” มลพิษข้ามพรมแดน | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอส)
  2. Arveera Pakkamat. “Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River.” The Irrawaddy, 6 เม.ย. 2025 (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River) (Chinese Gold Mining in Myanmar’s Shan State Blamed for Arsenic in Kok River)
  3. Suthep Kritsanavari. “Thailand: Gold mines in Myanmar cause cross-border pollution, discharging toxic contaminants into rivers; key miners reportedly Chinese.” Business & Human Rights Resource Centre, 19 เม.ย. 2025 ([ Thailand: Gold mines in Myanmar cause cross-border pollution, discharging toxic contaminants into rivers; key miners reportedly Chinese – Business & Human Rights Resource Centre ](https://www.business-humanrights.org/en/latest-news/gold-mines-in-myanmar-caused-cross-border-pollution-discharging-poisonous-contaminants-in-rivers-in-thailand-key-miners-reportedly-chinese/#:~:text=Cross,laden%20water)) ([ Thailand: Gold mines in Myanmar cause cross-border pollution, discharging toxic contaminants into rivers; key miners reportedly Chinese – Business & Human Rights Resource Centre ](https://www.business-humanrights.org/en/latest-news/gold-mines-in-myanmar-caused-cross-border-pollution-discharging-poisonous-contaminants-in-rivers-in-thailand-key-miners-reportedly-chinese/#:~:text=Tests%20in%20Mae%20Ai%20district,quality%20monitoring%20centre))
  4. Panumate Tanraksa. “Northern rivers face ‘severe pollution’ – Civil groups urge PM to take up issue.” Bangkok Post, 18 เม.ย. 2025 ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’) ( Bangkok Post – Northern rivers face ‘severe pollution’)
  5. Bangkok Tribune. “PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives.” 20 เม.ย. 2025 (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune) (PM asked to urgently address toxic contamination in Kok and Sai rivers before rainy season arrives | Bangkok Tribune)
  6. Mizzima News (อ้างจาก Shan Human Rights Foundation). “Mae Sai floods and sludge caused by gold and mineral mining in Myanmar.” 30 พ.ย. 2024 (Thai government report says Mae Sai floods and sludge caused by gold and mineral mining in Myanmar – ENG.MIZZIMA.COM) (Thai government report says Mae Sai floods and sludge caused by gold and mineral mining in Myanmar – ENG.MIZZIMA.COM)
  7. The Nation. “Toxic found in Kok River; Chiang Mai-Chiang Rai warned off.” 5 เม.ย. 2025 (Toxic found in Kok River; Chiang Mai-Chiang Rai warned off) (Toxic found in Kok River; Chiang Mai-Chiang Rai warned off)
  8. Transborder News. “Arsenic Threat in Kok and Sai Rivers Escalates: Experts Urge Immediate Action and Diplomatic Push with China.” 21 เม.ย. 2025 (สำนักข่าวชายขอบ) (สำนักข่าวชายขอบ)
  9. Manager Online. “ไม่ใช่แค่น้ำกก! พบ “น้ำสาย” ปนเปื้อนสารหนูด้วย หลังเหมืองทองทุนจีนโผล่ทั้งพื้นที่เมืองยอน เขตอิทธิพลว้าแดง-ตอนเหนือท่าขี้เหล็ก.” 24 เม.ย. 2025 (ไม่ใช่แค่น้ำกก! พบ“น้ำสาย”ปนเปื้อนสารหนูด้วย หลังเหมืองทองทุนจีนโผล่ทั้ง …) (ข้อมูลประกอบ)