รมว.คลัง ชี้แจงการออกพระราชกำหนดฯ กู้เงินแก้ปัญหาโควิด-19 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท มีวัตถุประสงค์อย่างเหมาะสม ชัดเจน จะดำเนินการกู้เงินอย่างระมัดระวังตามความจำเป็น พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจขยายตัวเป็นบวกในปีนี้
พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 โดยบังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป หรือตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 2564 เรียกว่าเป็น พ.ร.ก.กู้เงิน ฉบับที่ 2 กรอบวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการลงนามในสัญญาเงินกู้ หรือออกตราสารหนี้ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2565.
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้ ออกมาเพื่อเตรียมการการแพร่ระบาดระลอกใหม่ จะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1.5% จากคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2564 ขยายตัว 1.5 – 2.5% ซึ่งปีที่แล้วสภาพัฒน์คาดว่าเศรษฐกิจจะ -8% เมื่อมีมาตรการเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ติดลบน้อยลงเหลือ -6%.ฉะนั้น ในปีนี้ประมาณการเศรษฐกิจขยายตัวเป็นบวก โดยคำนวณจากคาดการณ์ 1.5 – 2.5% จะทำให้โตเพิ่มอีก 1.5% ดีขึ้นกว่าคาดการณ์.”ส่วนการกู้เงิน จะทยอยกู้ตามความจำเป็น ไม่ได้กู้มาในคราวเดียว ซึ่งสำนักงานบริการหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้ดำเนินการกู้เงินอย่างระมัดระวัง ดูตลาดเงิน ตลาดตราสารหนี้ ในช่วงเวลาที่เหมาะสม และประมาณการว่าหนี้สาธารณะยังอยู่ในกรอบที่ 58.56% ต่อจีดีพี แต่ถ้าเศรษฐกิจเติบโต ตัวเลขหนี้สาธารณะก็จะดีขึ้น” รมว.คลัง กล่าว.
สำหรับ พ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทนั้น กำหนดการใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ 3 แผนงาน ได้แก่.
1.เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 30,000 ล้านบาท
2.เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 300,000 ล้านบาท
3.เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 170,000 ล้านบาท.ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นสามารถปรับแผนงานการใช้จ่ายได้ โดย พ.ร.ก.ฉบับนี้จะเข้าไปเสริมตามแผนงาน พ.ร.ก.ฉบับที่ 1 (พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท) ซึ่งเน้นเข้าไปดูแลในบางเรื่อง เช่น เอสเอ็มอี ไมโครเอสเอ็มอี ผู้ประกอบธุรกิจรายเล็กรายน้อย ให้เร็วที่สุด