ปัญหาการเรียนออนไลน์ รวมถึงหลายพื้นที่ เด็ก เยาวชน ไม่สามารถเข้าถึงการเรียนที่มีประสิทธิภาพได้ หลายคนจึงมุ่งเน้นไปที่การเร่งฉีดวัคซีนให้กับเด็กนักเรียน ประเด็นนี้กระทรวงศึกษาธิการ ได้เตรียมแผนการกระจายการฉีดวัคซีน และขั้นต่อไปสำหรับการเปิดเรียนแบบ Onsite เผยแผนเตรียมฉีดไฟเซอร์ให้กับนักเรียน 4 ล้านคน
26 สิงหาคม ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงแผนการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนและเยาวชน ตามที่รัฐบาลได้สั่งซื้อวัคซีนไฟเซอร์ กำหนดถึงประเทศไทยประมาณเดือนกันยายน จำนวน 2-3 ล้านโดส และจะส่งให้ได้ครบ 30 ล้านโดส ภายในเดือนธันวาคม
“ทางรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข จะจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเด็กและเยาวชน ไม่ใช่แค่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพราะกระทรวงศึกษาธิการเวลาทำในเรื่องนี้เราคำนึงถึงครอบคลุมถึงผู้เรียนทุกสังกัด และยังคำนึงถึงผู้เรียนที่อยู่นอกระบบที่เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านกว่าคน”
กระทรวงศึกษาธิการย้ำว่า เมื่อวัคซีนมาถึงจะเร่งดำเนินการฉีดให้เป็นไปตามแผนและขั้นตอนการกระจายที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้วางแผนอย่างรวดเร็วที่สุด
ส่วนคำถามที่ว่าเมื่อเด็กได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว จะสามารถเปิดเรียนแบบปกติได้เมื่อไรนั้น ดร.กนกวรรณ ชี้แจงว่าการจะเปิดเรียนนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องเน้นความปลอดภัยของเด็กทุกคนเป็นหลัก
“สิ่งที่ต้องดูก็คือมีเหตุการณ์อย่างไร บริบทแต่ละพื้นที่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการควบคุมโรคระดับจังหวัดเป็นสำคัญด้วย ในการที่จะดูด้านความปลอดภัยของชีวิตเด็ก เยาวชน และประชาชน ที่จะไปเป็นอนาคตของชาติถือว่าสำคัญมาก ต้องดูในบริบทต้องสอดคล้องและดูว่าเหมาะสมอย่างไร”
องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการเปิดเทอมของเด็กทั่วโลก ส่วนหนึ่งในบทความเผยว่า “องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการในการกลับมาเปิดโรงเรียนอีกครั้งอย่างปลอดภัย และยินดีที่ได้เห็นมาตรการต่าง ๆ ของกระทรวงฯ ในการลดผลกระทบทางการศึกษาที่เด็ก ๆ และผู้ปกครองกำลังเผชิญ เช่น การเร่งฉีดวัคซีนให้กับครู การให้เงินเยียวยาแก่เด็กนักเรียนทั่วประเทศ และการสนับสนุนค่าอินเทอร์เนตสำหรับการเรียนออนไลน์”